วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

LED TV เหนือกว่า LCD TV ทั่วไปอย่างไร!

คุณ เคยสงสัยหรือไม่ว่าเทคโนโลยีอะไรที่อยู่เบื้องหลังความหรูหรา เพรียวบาง งดงามของดีไซน์ และความสามารถในการแสดงภาพของ LED TV ที่ทำได้สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจกว่าภาพที่ได้จากจอ LCD TV ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด?
 


คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าเทคโนโลยีอะไรที่อยู่เบื้องหลังความหรูหรา เพรียวบาง งดงามของดีไซน์ และความสามารถในการแสดงภาพของ LED TV ที่ทำได้สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจกว่าภาพที่ได้จากจอ LCD TV ทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด?
ในช่วงปี 2008 - 2009 ที่ผ่านมาเทคโนโลยี LED TV ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาพลิกโฉมหน้าของวงการ HDTV เลยทีเดียว เทคโนโลยีดังกล่าวนอกจากทำให้การออกแบบจอ LCD ให้มีความบางมากๆ ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไปแล้วมันยังช่วยปรับปรุงและลบข้อด้อยของเทคโนโลยี LCD ในหลายๆ แง่ได้อีกด้วย และด้วยเทคโนโลยีการผลิต LED ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลิตภัณฑ์ LED TV รุ่นหลังๆ มีประสิทธิภาพสูง ทนทาน และน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เราได้ใช้สินค้าที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในราคาถูกลงเรื่อยๆ ในปี 2010 นี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนกับ LED TV ดีๆ สักเครื่อง มาติดตามกันเลยครับว่า LED TV นั้นมีข้อดีอย่างไรบ้าง
ในด้านเทคนิค LED TV ยังถือว่าเป็น LCD TV ประเภทหนึ่ง โดยทั้งคู่ต่างก็ใช้ Liquid Crystal Display (LCD) ในการแสดงภาพที่ได้รับจากแหล่งกำเนิดสัญญาณเหมือนๆ กัน แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความแตกต่างของ LED TV นั่นคือเทคโนโลยี backlighting นั่นเอง
หลอด backlight ที่นิยมใช้กับ LCD TV ในปัจจุบันมี 2 ประเภท ได้แก่ backlight แบบ CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) ซึ่งเป็น backlight ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และพบได้ทั่วไปใน LCD TV หรือ LCD Monitor ส่วน backlight อีกประเภทที่น่าจะเข้ามาแทน backlight แบบ CCFL ในไม่ช้า คือ backlight แบบ LED (Light-Emitting Diode)
การนำหลอด LED มาใช้เป็น backlight แทนการใช้หลอด CCFL นั้นจะช่วยเพิ่ม contrast ratio ให้กับจอ LCD ทำให้ภาพดูมีมิติขึ้น แสดงสีดำและไล่เฉดสีเทาได้หลากหลายมากขึ้น และเนื่องจากหลอด LED มีประสิทธิภาพในการเปล่งแสงได้แรงกว่าหลอดและมีขนาดเล็กกว่า ทำให้ผู้ผลิตสามารถออกแบบ TV ที่มีขนาดบางลง และใช้พลังงานน้อยลงอีกด้วย
เช่นเดียวกับเทคโนโลยีของ CCFL Backlight ที่มีหลายประเภท เทคโนโลยีของ LED Backlight นั้นก็มีหลายประเภทเช่นเดียวกันโดย LCD TV ที่ใช้ LED Backlight ที่มีขายในปัจจุบันมี 2 ประเภทด้วยกัน คือ
1. LED-backlit LCD TV หมายถึงจอ LCD TV ที่ติดตั้งหลอด LED ไว้ด้านหลัง โดยหลอด LED ดังกล่าวจะเป็นแบบสีขาวทั้งหมด หรือเป็นแบบสามสี (แดง เขียว และน้ำเงิน: RGB) ก็ได้ การติดตั้งหลอด LED ไว้ด้านหลัง จะทำให้แผงควบคุมสามารถสั่งเปิดหรือปิดหลอด LED ดังกล่าวเป็นกลุ่มๆ ตามภาพที่แสดงอยู่บนจอในขณะนั้นได้ (เราเรียกเทคนิคนี้ว่า local dimming หรือ selective dimming)ซึ่งส่งผลให้บริเวณของภาพที่เป็นสีดำนั้นกลายเป็นสีดำสนิทอย่างแท้ จริง และในกรณีที่ใช้หลอด LED แบบ RGB ก็จะช่วยทลายข้อจำกัดในการแสดงสีของจอ LCD ไปได้เลย เนื่องจากหลอด LED ทั้งสามสีนั้นสามารถผสมกันเป็นสีอะไรก็ได้ ส่งผลให้จอ LCD สามารถแสดงสีได้สมจริงยิ่งขึ้น ตัวอย่างของ LCD TV ที่ใช้เทคโนโลยี LED-backlit ได้แก่ Sony Bravia 46X450A, เป็นต้น
2. LED Edge-lit LCD TV หมายถึงจอ LCD TV ที่ติดตั้งหลอด LED สีขาวไว้ตามขอบทั้งสี่ด้านของจอ จึงทำให้ผู้ผลิตสามารถออกแบบจอให้มีความบางมากๆ ได้ และถึงแม้ LCD TV ประเภทนี้ถึงแม้จะไม่สามารถสั่งปิด backlight เป็นกลุ่มๆ ได้เหมือนแบบแรก แต่ด้วยอานิสงส์ของหลอด LED จึงทำให้ภาพที่แสดงมีมิติมากกว่า มีความสว่าง และ contrast ratio สูงกว่า และไล่ระดับสีดำและเทาได้ดีกว่าจอ LCD TV ที่ใช้ CCFL backlight ทั่วไป ตัวอย่างของ LCD TV ที่ใช้ LED Edge-lit ได้แก่ Sony Bravia EX700, NX700 และ NX800 series เป็นต้น
EX700
NX70
NX80
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเลือกซื้อ LED TV ของทุกๆ ท่าน และติดตามข่าวสารและบทความดีๆ เกี่ยวกับ HDTV ได้ที่ www.lcdspec.com ครับ

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิธีตั้งค่า Outlook ให้ใช้ Hotmail

เปิดโปรแกรม Outook Express ขึ้นมานะครับ
ใคร จะใช้ Outlook 2003, 2007 ก็ได้ครับผมใช้ Express เพราะหน้าตามันบ้าน ๆ ดีครับ
เลือก Menu Tools แล้วไปที่ Account กดเข้าไปเลยครับ
จาก นั้นเลือก Tab Mail ดูขวามือกดที่คำสั่ง Add ครับกดแล้วที่คำสั่ง Mail ที่โผล่ขึ้นมาอีกที
จะ ขึ้น Tab ใหม่ Yor Name ใส่ชื่อที่คุณต้องการลงไปครับจากนั้นกด Next
จะ ขึ้น Tab ใหม่ Internet E-Mail Address ใส่เมลของ Hotmail ของคุณลงไปในตัวอย่างผมจะใช้ของ Live นะครับ
จะ ขึ้น Tab ใหม่ E-Mail Server Names ใส่ค่าตามรูปครับ ผมใช้ pop3 นะครับ
Incoming pop3.live.com
Outgoing smtp.live.com
สำหรับผู้ใช้เนท TOT ADSL ให้เซท Outgoing เป็น smtp-adsl.totonline.net *****By คุณ TinyNu
หรือ ใครจะใช้ http ก็ได้ครับตามสะดวกคุณ
จาก นั้นมันจะถามไอดีพาสก็ใส่ไปครับ ติ๊กให้จำพาสด้วยมันจะได้ไม่ถามซ้ำอีก
พอ กดตกลงแล้วมันจะย้อนกลับมาหน้านี้ครับเราต้องเข้าไปเซทอีกทีนึงกดตามรูปนะ ครับแล้วเลือก Properties
Tab General เซทค่าต่าง ๆ ตามที่คุณต้องการครับแล้วเลื่อนมาที่ Tab Server ให้ติ๊กตามรูปครับไม่งั้นเดี๋ยวเมลขาออกมันจะไม่ออก
ถ้าเซทแล้วขาออก หรือตอนส่งมันมี Error STMP ให้เปลี่ยนค่า Outgoing mail (SMTP) เป็น 587 ดูนะครับ ******By TonMai2K
แล้ว กดมาที่ Tab Advanced แล้วกดติ๊กตามรูปนะครับจากนั้นกดตกลงได้เลยครับ
การ เซท Hotmail ให้ใช้กับ Outlook เรียบร้อยครับ

เพื่อ เป็นการเพลเซพ
เราควรย้ายที่เก็บอีเมลของเราไปให้พ้น Drive C: ค่ามาตรฐานของ Outlook ที่อยู่ที่ Driver C: ครับ
ถ้าใครไม่ย้ายเวลา Windows พังต้อง Format มันก็หายตามกันไปหมดครับ
ผมเคยเห็นผู้บริการ ต้องปวดหัวเพราะ Windows พังแล้วไม่ได้ backup email outlook ไว้ครับ
ต่อ ให้โคตรเซียนก็แทบช่วยไม่ได้ถึงจะกู้ข้อมูลกลับมา
มันก็จะทำให้ format ของอีเมล อักขระ และรูปภาพในนั้นผิดเพี้ยนไปครับ
(โปรแกรมกู้ไฟล์ส่วน ใหญ่ไม่ค่อยซับพอร์ต code ภาษาไทยครับ)
เหมือนเดิมครับเปิด Outlook ขึ้นมาแล้วไปที่เมนู Tools แล้วเลือก Option นะครับ
จาก นั้นไปที่ Tab Maintenance แลวกดที่ Stroe Folder ครับ
มัน จะขึ้นมาให้อีเมลเราถูกเก็บไว้ที่นี่ให้คุณกด Change เพื่อเปลี่ยนที่เก็บครับ
ตัวอย่างของผมย้ายไปเก็บไว้ไดร์ฟ G: โฟลเดอร์ Email แล้วครับ
ย้าย ไปไว้ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ไดร์ฟเดียวกับวินโด้ เวลาวินโด้พังเมลจะได้ไม่หายตามนะครับ
เลือก แล้วกดโอเคก็จบครับ
เวลาทำ Backup เมลก็ Copy Folder Email ไปได้เลยครับ

ไหน ๆ ก็เขียนมาเยอะแล้วเอาขอเพิ่มเติมวิธีป้องกัน Error 0x0800C0133 (Outlook inbox folder full)
ลักษณะการใช้งานของ User ที่เกิด Error แบบนี้
คือ ปล่อยเมลใน Inbox ทิ้งไว้จนเต็ม Limit ของ Outlook Express
ขนาดไฟล์ เต็มลิมิตคือ ไฟล์ Inbox.dbx มีขนาด ประมาณ 2 GB (2,097,142 KB)
เมื่อ ไฟล์เต็มแล้วทำให้ไม่สามารถรับเมลใหม่ๆเข้ามาได้อีก
กดเข้าไปดูวิธี ป้องกันและแก้ไขได้ที่นี่นะครับ Error 0x0800C0133 (Outlook inbox folder full)
วิธีแก้ที่ง่ายที่สุด คือซอย folder เมลย่อย ๆ ไว้เยอะ ๆ ครับเวลามีอีเมลเข้ามาก็ดึงไปไว้ตามโฟลเดอร์ที่เราซอยไว้ใน Outlook
Folder หลักก็จะไม่มีทางที่จะมีขนาดเกิน 2Gb ได้ครับ

by: Jump.Jr

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

Gmail Drive รับส่ง/เก็บข้อมูลสำรอง

บทความนี้สำหรับการใช้ Gmail Drive
เฉพาะผู้ที่มีบัญชี gmal.com
เพื่อให้ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของ Gmail
เป็นเสมือน Drive อีกตัวหนึ่งในการรับส่ง/เก็บข้อมูลสำรอง
หรือในกรณีที่ไม่มี Handy Drive อยู่
แต่ต้องการทำสำเนา/สำรองข้อมูลก่อน
ถ้าเชื่อมต่อกับ Internet ได้และมีการติดตั้งโปรแกรมนี้
ก็จะสามารถใช้งานได้
Gmail Drive มีการพัฒนามาหลายรุ่นแล้ว
รุ่นเก่า ๆ จะมีปัญหาในการใช้งาน
หรือใช้งานไปสักพักอาจจะมีปัญหา
ต้องคอยติดตามจากกลุ่มผู้พัฒนาคือ Viksoe.dk
ตอนนี้ Version ล่าสุดคือ
Gmail Drive v1.0.15

viksoe.dk

ก็ไป download มาใช้งานที่ softpedia ตามภาพ
ส่วนอีกรายก็เจ้าเก่า www.filehippo.com (ขอผ่านไปก่อน)
ก็จะมีการติดตามการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

sofpedia

ไฟล์จะมีขนาดเล็กมากเพียง 156KB
ถ้า Internet เร็ว ๆ ก็กด Open ได้เลย
ไม่ต้อง Save ก่อนก็ได้
แต่สำหรับบทความนี้จะขอแสดงภาพ
ก่อนการขยายไฟล์ตามภาพ
จะเห็นมีเพียง 4 ไฟล์หลักก็เลือกที่ Setup

save

เมื่อทำการ setup แล้วก็จะทำการติดตั้ง Drive
ตามภาพดังกล่าวคือ

setup


ถ้าการติดตั้งสมบูรณ์แล้ว
จะปรากฎชื่อ drive ตามภาพถัดมาเลยครับ

GMail Drive


การใช้งานก็ต้องมี Account  ของ Gmail.com
ก็ Login As  ได้เลย
แต่กรณีจะเลิกใช้ ควรมา Log Out ด้วยเพราะมิฉะนั้นก็จะต่อ Online ไว้เกือบตลอดเวลา
เพื่อความสะดวกในการรับส่ง Files ครับ


login as

Tips การ Login ครั้งแรกจะไม่ค่อยผ่าน
ต้องลองสักสองสามครั้งก็จะเข้าในระบบได้เลย
ส่วนการ Use Proxy Authentication
ถ้าไม่ทราบก็ไม่เป็นไร
ไม่มีผลในการใช้งานแต่อย่างใด
แต่ที่ Click เครื่องหมายถูกข้างหน้า
จะรายงานให้ทราบในภาพต่อ ๆ ไป
ถ้าผ่านเข้าระบบได้ก็จะเป็นตามภาพของผู้เขียนครับ

login


เมื่อใช้งานในระบบได้ก็จะสามารถรับส่งไฟล์
จาก Gmail ได้โดยตรง
เช่นเลือกภาพหรือไฟล์ที่ต้องการ
แล้ว click mouse ด้านขวามือ
แล้วใช้ Sent to Gmail Drive
ตามภาพตัวอย่างจาก Softpedia


sent

ส่วนภาพนี้เป็นของผู้เขียน
ตามภาพดังกล่าวกำลังส่งไฟล์ดวง.PPS
ไปยังที่ Gmail Drive เมื่อเสร็จแล้วก็จะพบ
ไฟล์ต่าง ๆ ที่ได้ส่งไปแล้วที่  Gmail Drive

teller

ส่วนภาพนี้คือ บัญชี gmail จะเห็นความแตกต่างคือ
ถ้าไม่ได้ Click ที่ช่อง Use Draft Folder
ก็จะปรากฎในช่อง Inbox
แต่ถ้า Click ที่ช่อง Use Draft Folder
ก็จะปรากฎในช่อง Draft
ก็แล้วแต่ความถนัดหรือความประสงค์ของผู้ใช้งาน
ว่าต้องการจะเก็บไฟล์ไว้ที่หมวดหมู่ใดครับ


gmail


ขอมอบบทตวามนี้แทนคำขอบคุณสำหรับ
ผู้พัฒนารายแรก /ผู้ที่แนะนำรายแรก (จำชื่อไม่ได้แล้ว)
ผู้รู้/ผู้เชี่ยวชาญที่มาช่วยตอบปัญหาใน
www.pantip.com/tech/basic และ  www.pantip.com/tech/software


โดย: ravio





วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ใช้งานและดูแลรักษาแบตฯ Lithium อย่างถูกต้อง

อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์สำหรับพกพา เช่น Notebook, กล้องดิจิตอล และมือถือ ในปัจจุบันจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบ lithium แทบทั้งสิ้น ซึ่งแบตเตอรี่แบบ lithium นั้นถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย น้ำหนักเบา และไม่ต้องดูแลรักษามากนัก ซึ่งจะต่างจากแบตเตอรี่แบบชาร์ตไฟใหม่ได้ในสมัยก่อนๆอย่างสิ้นเชิง ทั้งในด้านวิธีใช้งาน และการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง
แบตเตอรี่แบบ lithium ที่พบเห็นบ่อยๆ ในปัจจุบันมีด้วยกัน 2 แบบ คือ
1. lithium-ion หรือตัวย่อว่า Li-ion เป็นแบตเตอรี่ที่พบเห็นมากที่สุด ถือว่าเป็นแบตเตอรี่มาตรฐานสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในทุกวันนี้
2. lithium-ion polymer หรือตัวย่อว่า Li-Poly เป็นแบตเตอรี่ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Li-ion โดยจะมีความจุไฟฟ้ามากว่า Li-ion ถึง 20% ในขนาดแบตเตอรี่ที่เท่ากัน แบตเตอรี่แบบนี้มีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือมีข้อจำกัดเรื่องรูปร่างของเบตเต อรี่น้อยมาก จึงทำให้สามารถสร้างแบตเตอรี่แบบ Li-Poly ให้มีขนาดเล็กและบางได้ รวมทั้งสามารถสร้างให้มีรูปทรงแปลกๆ ที่ไม่ใช่ทรงกระบอกหรือทรงสี่เหลื่ยมเหมือนแบตเตอรี่แบบเดิมๆได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามต้นทุนการผลิตของ Li-Poly ยังจัดว่ามีต้นทุนสูง ดังนั้นความนิยมจึงยังมีไม่มากเท่าแบตเตอรี่แบบ Li-ion
ทีนี้ลองพลิกดูแบตเตอรี่ของคุณๆ ดูว่าใช่แบตเตอรี่แบบ lithium กันรึเปล่า ถ้าใช่แล้ว เรามาไขข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแบตเตอรี่ lithium กันเลยดีกว่าครับ
1. ตารางเจ้าปัญหา ความจริงที่ถูกบิดเบือน
หลายๆคนอาจจะเคยเห็นตารางอย่างในรูปข้างบนมาแล้วใช่ไหมครับ ต้นฉบับที่แท้จริงของตารางข้างบนมาจากเว็บ http://www.batteryuniversity.com/parttwo-34.htm ครับ ซึ่งในเว็บ และบนหัวตารางก็ระบุไว้อย่างชัดเจนมันคือตาราง charge/discharge rateซึ่งคำว่า charge rate ไม่ได้หมายความว่าใช้แบตไปหมดไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้วค่อยชาร์ตไฟกลับคืนเป็น 100% แต่ charge rate หมายถึงอัตราของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ชาร์ตแบตเตอรี่ในช่วงเวลา เช่น
ถ้าเรามีแบตเตอรี่ขนาด 10 Ah(ampere-hour) แต่เราชาร์ตไฟด้วยแท่นชาร์ตที่ปล่อยไฟชั่วโมงละ 2 แอมแปร์(ampare) ก็จะต้องใช้เวลาชาร์ตไฟเข้าไปในแบตเตอรี่ที่ว่างเปล่าจนไฟเต็มด้วยเวลา 5 ชั่วโมง อัตราการชาร์ตระดับนี้เราเรียกว่าอัตรา C/5 หรือ 0.2C
ส่วนอัตรา 1C ก็คือ ถ้าชาร์ตแบตเตอรี่ขนาด 10Ah ก็ต้องใช้แท่นชาร์ตที่ปล่อยไฟชั่วโมงละ 10 แอมแปร์ก็จะชาร์ดไฟได้เสร็จใน 1 ชั่วโมง
เช่นเดียวกับอัตรา 2C ก็คือ ชาร์ตแบตเตอรี่ขนาด 10Ah ด้วยแท่นชาร์ตที่ปล่อยไฟชั่วโมงละ 20 แอมแปร์ก็จะชาร์ตไฟได้เสร็จใน 30 นาที
และคำว่า discharge rate ก็จะคล้ายๆกับ charge rate ครับแต่เป็นในทางกลับกันคือเป็นอัตราการใช้ไฟ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตารางข้างต้นแสดงถึงว่าถ้าเราชาร์ตไฟด้วยกระแสไฟสูง ในเวลาสั้นหรือใช้ไฟจากแบตในปริมาณมากในระยะเวลาอันสั้น จะทำให้แบตเตอรี่แบบ lithium เสื่อมเร็วขึ้น (จำนวน cycle ลดลง)
ส่วนกรณีที่ยกมาอ้างว่า การชาร์ตไฟบ่อยๆหรือการใช้ไฟจากแบตเตอรี่เพียงเล็กน้อยแล้วรีบชาร์ตกลับให้ เต็ม 100% เป็นการช่วยเพิ่มจำนวน cycle นั้นไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย เพราะการเพิ่มลดของจำนวน cycle ไม่เกี่ยวกับรูปแบบการใช้งานว่าใช้มากใช้น้อยแล้วค่อยชาร์ตไฟ แต่จำนวน cycle เกี่ยวข้องโดยตรงกับรูปเครื่องชาร์ตว่าชาร์ตเร็วหรือช้า ถ้ายิ่งชาร์ตเร็วแบตฯก็จะเสี่ยมเร็ว ถ้าเครื่องชาร์ตค่อยๆชาร์ตแบตก็จะเสื่อมช้า
2. นับจำนวน Cycle อย่างไร
จำนวน Cycle คือตัวเลขที่บ่งบอกอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ว่าแบตฯจะเริ่มเสื่อมเมื่อผ่าน การชาร์ตไปนานแค่ไหน ถ้าแปลตรงๆตัวคำว่า cycle ก็คือรอบ คำว่ารอบไม่ได้เท่ากับคำว่าครั้ง ดังนั้นการชาร์ต 1 ครั้งจึงไม่เท่ากับ 1 cycle ซะทีเดียว
จำนวน 1 Cycle จะวัดจากปริมาณการชาร์ตไฟที่รวมๆแล้ว เท่ากับปริมาณการชาร์ตไฟจากแบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ(0%) จนแบตเตอรี่มีไฟเต็ม(100%) 1 ครั้ง
เช่น ถ้าเราชาร์ตครั้งแรกจากแบตเตอรี่ 50%=>100% การชาร์ตครั้งนี้ก็จะนับเท่ากับ 0.5 cycle
3. ชาร์ตอย่างไรถึงจะดี
หลายคนคงเคยได้ยินว่าต้องชาร์ตแบตเตอรี่ครั้งแรกเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมง แล้วจึงจะเริ่มใช้งานได้ หรือว่าต้องหมั่นชาร์ตบ่อยๆ หรือไม่ก็ใช้ให้ไฟหมดก่อนแล้วค่อยชาร์ต ซึ่งข้อความทั้งหมดนี้ก็มีข้อจริงและเท็จปนๆกัน อันที่จริงแล้วสำหรับแบตเตอรี่แบบ lithium (ย้ำว่าแบบ lithium เท่านั้น) จะชาร์ตอย่างไรก็ได้ไม่มีผลต่ออายุการใช้งานครับ
ข้อมูลตรงนี้เป็นที่ยืนยันจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ(ทั้งที่อ้างอิง ไว้ข้างล่าง และที่อื่นๆ) มีใจความตรงกันว่า การชาร์ตมาชาร์ตน้อย ชาร์ตนาน ชาร์ตถี่ ชาร์ตบ่อย มีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่น้อยมาก ส่วนข้อความข้างต้นที่ยกมานั้นเป็นคำแนะนำสำหรับแบตเตอรี่ชนิดอื่นๆที่ไม่ ใช่ lithium ครับ
การที่แบตเตอรี่แบบ lithium จะเสื่อมจากการใช้งานนั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 เงื่อนไข คือ
- เมื่อใช้งานจนถึงจำนวน Cycle ที่แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมเองตามปกติ
- เมื่อถึงเวลาที่แบตเตอรี่จะเสื่อมมันก็จะเรี่มเสื่อมเอง โดยเวลาที่ว่าเป็นเวลาที่นับตั้งแต่การผลิต ไม่ใช่เวลาในการใช้งาน
- การชาร์ตไฟของตัวชาร์ต (ดังที่กล่าวไปแล้วในข้อ 1)
- อุณหภูมิของแบตเตอรี่ ถ้าแบตเตอรี่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงก็จะส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติได้
4. ได้ยินว่าชาร์ตไฟ 40% แบตจะอยู่ได้นานกว่าจรึงรึเปล่า
สำหรับแบตเตอรี่แบบ lithium ถ้าชาร์ตไฟที่ 40% แล้วเก็บเอาไว้โดยไม่ใช้งานเป็นระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป ตัวแบตจะเสื่อมน้อยกว่าการชาร์ตไฟที่ 100% แล้วเก็บไว้นาน 1 ปีขึ้นไป แต่สำหรับแบตเตอรี่ที่ไม่ได้เก็บไว้นานเกิน 1 ปี หรือแบตเตอรี่ที่ใช้งานตามปกติ(ไม่ได้เก็บเข้ากรุ) อัตราการเสื่อมของแบตเตอรี่ไม่ว่าจะมีไฟที่ 40% หรือ 100% นั้นแทบจะไม่ต่างกัน
สรุปว่าข้อความข้างต้นเป็นจริงเฉพาะแบตเตอรี่ lithium ที่เก็บไว้นานๆโดยไม่ใช้งานครับ
5. แล้วเวลาใช้งาน Notebook เมื่อเสียบปลั๊กแล้วควรจะถอดแบตหรือไม่
คำตอบนี้ตอบได้ทั้งควร และไม่ควรครับ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานจะเลือกแบบไหน
1. เสียบปลั๊กแล้วแต่ไม่ถอดแบตฯ
ข้อดี
- หากระบบไฟฟ้ามีปัญหา ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงาน และงานที่ทำในเครื่อง Notebook เปรียบเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ USP อยู่
- ขัวแบตเตอรี่จะไม่เกิดปัญหา ฝุ่นผงหรือความชื้นไปเกาะ
- มีความสะดวก สบายในการใช้งาน ไม่ต้องถอดๆใส่ๆ
ข้อเสีย
- แบตเตอรี่จะได้รับความร้อนจากตัวเครื่อง ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติเล็กน้อย
2. เสียบปลั๊กแล้วถอดแบตฯ
ข้อด
- แบตเตอรี่จะปลอดภัยต่อความร้อนที่มาจากตัวเครื่อง notebook
ข้อเสีย
- ขั้วแบตเตอรี่อาจเกิดฝุ่นผงหรือมีความขึ้นไปเกาะทำให้เกิดคราบออกไซด์ อาจส่งผลให้เกิดอาการเสียบแบตเตอรี่แล้วไฟไม่เข้าเครื่องได้
- หากระบบไฟมีปัญหา เครื่อง notebook จะดับ ทำให้งานในเครื่องเสียหาย และอาจทำให้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในเครื่องเสียหายได้
โดยส่วนตัวผมจะแนะนำให้เสียบแบตฯทิ้งเอาไว้ครับ เพราะข้อดีมีเยอะกว่าข้อเสีย และที่สำคัญคือ ถึงแม้การเสียบแบตฯไว้อาจจะทำให้แบตฯเสื่อมจากความร้อนได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว Notebook ทุกวันนี้ออกแบบมาให้ตรงส่วนที่เป็นแบตเตอรี่เป็นฉนวนความร้อนครับ ดังนั้นความร้อนก็จะส่งไปถึงแบตเตอรี่ได้ไม่มากนัก เรียกง่ายๆว่าถ้าเครื่องมันร้อนมาก คนใช้ Notebook จะร้อนมือก่อนที่แบตจะร้อนเสียอีกด้วยซ้ำครับ
สรุปสุดท้ายด้วยคำแนะนำสั้นๆ สำหรับแบตเตอรี่ lithium ดังนี้ครับ
1. พยายามหลีกเลี่ยงการใช้แบตเตอรี่จดหมดแล้วค่อยชาร์ดครับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด discharge rate ในอัตราที่สูง (ใช้ไฟเยอะในเวลาอันสั้น) ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว เช่น กรณีที่ต้องการใช้งานเครื่องหนักๆ(กินแบตฯเยอะๆ) ก็ควรใช้แค่ช่วงเวลาไม่นาน และไม่ควรใช้จนแบตหมดครับ ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆให้หาโอกาสชาร์ตไฟเป็นระยะๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิด discharge rate ในอัตราที่สูงได้
และที่สำคัญที่สุดคือการชาร์ตบ่อยๆ จะช่วยป้องกันการลืมชาร์ตไฟ ซึ่งถ้าหากปล่อยให้แบต lithium ไฟหมดเป็นเวลานานแบบจะเสีย ไม่สามารถชาร์ตไฟได้อีก
2. ระลึกไว้เสมอว่าแบตฯแบบ lithium ความร้อนมีผลต่อการเสื่อมมากกว่ารูปแบบการชาร์ตไฟครับ ดังนั้นพยายามดูแลอย่าให้แบตฯร้อน จะได้ผลดีกว่ามัวกังวลเรื่องชาร์ดบ่อย ชาร์ตมาก ชาร์ตน้อย
3. เก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่เย็นๆ ถ้าจำเป็นจะต้องเก็บ Notebook ไว้ในรถที่จอดตากแดด ก็ควรถอดแบตเตอรี่แยกติดตัวออกมาครับ จะช่วยให้แบตฯเสื่อมช้าลง
4. ถ้าจำเป็นจะต้องเป็บแบตไว้เป็นเวลานาน โดยไม่ได้ใช้งาน ให้ชาร์ตไฟไว้ที่ประมาณ 40% ของความจุ แล้วเก็บไว้ในที่เย็นๆ จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้
5. ไม่ควรซื้อแบตเตอร์แบบ lithium มาเก็บไว้เผื่อใช้งานครับ เพราะแบตแบบ lithium มีอายุการเสื่อมสภาพนับจากวันผลิต(ไม่ใช่วันที่ใช้นะครับ) ดังนั้นถ้าเก็บไว้นานโดยไม่ใช่มันก็จะเสื่อมไปเองได้ครับ และเช่นเดียวกันกับการเลือกซื้อแบตแบบ lithium ไม่ควรซื้อแบตฯแบบเก่าเก็บครับ เพราะซื้อมาแล้วใช้ได้ไม่นานแบตฯมันจะเสื่อมตามอายุของมันเองครับ
จบแล้วครับสำหรับ 5 คำถามกับคำตอบที่ถูกต้อง และ 5 คำแนะนำในการใช้แบตเตอรี่แบบ lithium ยังไงอ่านบทความชิ้นนี้แล้วช่วยบอกต่อๆ กันไปด้วยนะครับ เพราะปัจจุบันนี้มีคนเข้าใจผิดกันเยอะ และมีบทความที่เขียนกันผิดๆ แปลมาผิดๆกันเยอะครับ บทความทั้งหมดนี้ผมเขียนขึ้นโดยรวมรวมจากความรู้ที่ได้ศึกษาจากเว็บต่าง ประเทศทั้งหมด รวมทั้งความรู้ส่วนตัวสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัย ส่วนเว็บท้ายบทความนี้ใช้อ้างอิงและหาข้อมูลเพิ่มเติมได้สำหรับผู้ที่ต้อง การนะครับ
http://www.batteryuniversity.com/parttwo-34.htm
http://en.wikipedia.org/wiki/Lithium-ion_battery
http://en.wikipedia.org/wiki/Lithium_ion_polymer_battery
http://en.wikipedia.org/wiki/Trickle_charging
http://www.daviddarling.info/encyclopedia/C/AE_charge_rate.html

ค้นหาและลงทะเบียน RSS feed ได้มากยิ่งขึ้น

ถ้า คุณต้องการ subscribe หรือลงทะเบียนรับข้อมูลข่าวสารผ่าน RSS feed เช่นข่าว technology news เป็นต้น คุณจะทำยังไง? คุณอาจจะทำการค้นหา blog ต่าง ๆ ที่เกียวข้องกับ technology news หรือเว็บไซด์ข่าวสารต่าง ๆ แล้วดูว่าเว็บเหล่านั้นมี RSS feed หรือไม่ ซึ่งทำให้ช้าและไม่สะดวกทีเดียว นอกจากนี้ Google, Yahoo และ search engine ตัวอื่นๆ ก็ไม่ได้ทำมาเพื่อค้นหา RSS feed โดยเฉพาะ แต่ทำมาเพื่อค้นข้อมูลเนื้อหาที่อยู่ที่เว็บไซด์นั้น ๆ Feedmil เป็น search engine ที่ทำมาเพื่อค้นหา RSS feed โดยเฉพาะ และครอบคลุมการค้นหา RSS feed ในทุก ๆ หัวข้อ ไม่ว่า RSS feed นั้นจะมาจากเว็บไซด์ทั่วไป [...]
 

ถ้า คุณต้องการ subscribe หรือลงทะเบียนรับข้อมูลข่าวสารผ่าน rss feed เช่นข่าว technology news เป็นต้น คุณจะทำยังไง? คุณอาจจะทำการค้นหา blog ต่าง ๆ ที่เกียวข้องกับ technology news หรือเว็บไซด์ข่าวสารต่าง ๆ แล้วดูว่าเว็บเหล่านั้นมี rss feed หรือไม่ ซึ่งทำให้ช้าและไม่สะดวกทีเดียว
นอกจากนี้ google, yahoo และ search engine ตัวอื่นๆ ก็ไม่ได้ทำมาเพื่อค้นหา rss feed โดยเฉพาะ แต่ทำมาเพื่อค้นข้อมูลเนื้อหาที่อยู่ที่เว็บไซด์นั้น ๆ
feedmil
feedmil เป็น search engine ที่ทำมาเพื่อค้นหา rss feed โดยเฉพาะ และครอบคลุมการค้นหา rss feed ในทุก ๆ หัวข้อ ไม่ว่า rss feed นั้นจะมาจากเว็บไซด์ทั่วไป หรือ blog ก็ตาม
feedmil มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เก็บรวบรวมข้อมูล rss feed ของ blog และเว็บไซด์ต่าง ๆ ไว้อย่างมากมาย คุณเพียงแต่ใส่ keyword ของ rss feed ที่ต้องการค้นหาไม่ว่าจะเป็น technology, software, google, windwos, หรือแม้แต่อาหาร เป็นต้น เพียงเท่านี้ feedmil ก็จะทำการค้นหาข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูล และแสดงออกมาให้เห็น
search_result
เมื่อคุณทำการค้นหาหัวข้อใด ๆ บน feedmil คุณสามารถเลือกให้มันแสดง/ไม่แสดง blog หรือเว็บไซด์ที่ไม่เป็นที่นิยมได้ ในหน้าแสดงผลลัพธิ์การค้นหา คุณจะเห็นข้อมูลต่าง ๆ ที่น่าสนใจของ blog และเว็บไซด์นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าความนิยมหรือ popularity, authority, activity และความถี่ในการ post บทความลงบน blog ต่อหนึ่งสัปดาห์ เป็นต้น
คุณสามารถปรับผลการค้นหาได้โดยปรับ topic significance ดังรูป
topic_significance

บทความโดย 2beshop.com

แปลงไฟล์ไปเล่นบนเครื่องอะไรก็ได้

สมมุติ ว่าคุณอยากจะแปลงไฟล์หนังจากแผ่น CD ไปลง PSP หรือ ipod คุณจะทำอย่างไร? วันนี้เราจะมาแนะนำโปรแกรมตัวหนึ่งที่จะช่วยให้คุณทำการแปลงไฟล์ต่าง ๆ ไปยังเครื่องใช้งานได้หลายตัว โดยการใ้ช้โปรแกรมตัวนี้ตัวเดียว หลาย ๆ คนอาจต้องการแปลงไฟล์ไปใช้ในเครื่องใช้ต่าง ๆ โดยเฉพาะไฟล์วีดีโอ เพื่อดูหนังค่าเวลาเมื่อต้องเดินทางนาน ๆ โปรแกรมที่จะแนะนำวันนี้มีชื่อว่า EncodeHD ซึ่งคุณสามารถโหลดไปใช้ได้ฟรี ๆ ขนาดของมันอยู่ที่ 5.5MB(zip file) เมื่อดาวโหลดและทำการ extract เรียบร้อยแล้วให้เรียกใช้งาน EncodeHD.exe คุณก็สามารถเริ่มใช้งานได้ทันที ก่อนจะไปสู่ขั้นตอนที่หนึ่ง ต้องขอบอกว่าโปรแกรมตัวนี้ไม่จำเป็นต้องทำการ install ดังนั้นคุณสามารถ save ใส่ thumb drive ไปใช้ที่ไหนก็ได้ครับ เมื่อ Extract ไฟล์ zip แล้วให้คลิ๊กที่ icon ดังรูปเพื่อเรียกโปรแกรมมาใช้งาน เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมาให้คุณเลือกอุปกรณ์ ที่จะนำไฟล์ไปใช้ จากนั้นให้ทำการลาก-วาง (drag-droup) ไฟล์ media ไปวางไว้ในหน้าของโปรแกรม หรือคลิ๊กที่เครื่องหมาย “+” เพื่อเพิ่มไฟล์ที่ต้องการทำการแปลงดังรูป ทำการเลือก output folder เพื่อใช้เก็บไฟล์ที่ถูกแปลง จากนั้นให้คลิ๊กที่ปุ่ม “start” [...]
 

สมมุติ ว่าคุณอยากจะแปลงไฟล์หนังจากแผ่น cd ไปลง psp หรือ ipod คุณจะทำอย่างไร? วันนี้เราจะมาแนะนำโปรแกรมตัวหนึ่งที่จะช่วยให้คุณทำการแปลงไฟล์ต่าง ๆ ไปยังเครื่องใช้งานได้หลายตัว โดยการใ้ช้โปรแกรมตัวนี้ตัวเดียว
หลาย ๆ คนอาจต้องการแปลงไฟล์ไปใช้ในเครื่องใช้ต่าง ๆ โดยเฉพาะไฟล์วีดีโอ เพื่อดูหนังค่าเวลาเมื่อต้องเดินทางนาน ๆ โปรแกรมที่จะแนะนำวันนี้มีชื่อว่า encodehd ซึ่งคุณสามารถโหลดไปใช้ได้ฟรี ๆ ขนาดของมันอยู่ที่ 5.5mb(zip file) เมื่อดาวโหลดและทำการ extract เรียบร้อยแล้วให้เรียกใช้งาน encodehd.exe คุณก็สามารถเริ่มใช้งานได้ทันที
ก่อนจะไปสู่ขั้นตอนที่หนึ่ง ต้องขอบอกว่าโปรแกรมตัวนี้ไม่จำเป็นต้องทำการ install ดังนั้นคุณสามารถ save ใส่ thumb drive ไปใช้ที่ไหนก็ได้ครับ
เมื่อ extract ไฟล์ zip แล้วให้คลิ๊กที่ icon ดังรูปเพื่อเรียกโปรแกรมมาใช้งาน
encodehd
เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมาให้คุณเลือกอุปกรณ์ ที่จะนำไฟล์ไปใช้
1
จากนั้นให้ทำการลาก-วาง (drag-droup) ไฟล์ media ไปวางไว้ในหน้าของโปรแกรม หรือคลิ๊กที่เครื่องหมาย “+” เพื่อเพิ่มไฟล์ที่ต้องการทำการแปลงดังรูป
2
ทำการเลือก output folder เพื่อใช้เก็บไฟล์ที่ถูกแปลง
3
จากนั้นให้คลิ๊กที่ปุ่ม “start” เพื่อเริ่มกระบวนการแปลงไฟล์ เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ…หวังว่าบทความนี้คงเป็นประโยชน์นะครับ
ลองไปทำเล่นกันดูครับ

บทความโดย 2beshop.com

แยกเพลงจาก Youtube ให้เป็น mp3

วันนี้ จะมาแนะนำเว็บไซด์อีกเว็บหนึ่งที่เจ๋งทีเดียว เว็บที่ว่านี้คือ ListenToYoutube ประโยชน์การใช้งานของเว็บนี้คือ คุณสามารถใช้ tool ที่มีอยู่บนเว็บไดซ์ extract ไฟล์เพลงออกจาก หนัง .flv ที่อยู่บน Youtube ดังนั้นคราวหน้าถ้าคุณพบไฟล์วีดีโอบน Youtube ที่มีเพลงประกอบเพราะ ๆ คุณก็สามารถดึงมาฟังบนเครื่องเล่น mp3 ได้สบาย ๆ ListenToYoutube ให้บริการฟรี และสามารถทำงานได้รวดเร็วเกินขาด นอกจากนี้คุณไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิกก่อนใช้งานให้เสียเวลา สิ่งที่คุณต้องการมีเพียงสิ่งเดียวคือ URL ของวีดีโอ Youtube ที่คุณต้องการ extract ไฟล์ mp3 ออกมา ขั้นแรกให้เลือกไฟล์หนังจาก Youtube ขั้นที่สอง เมื่อได้ URL ที่ต้องการมาแล้วให้เป็นที่ ListenToYoutube เสร็จแล้วให้คลิ๊กที่ปุ่ม “Go” ตัวเว็บไซด์นี้จะทำการโหลดไฟล์ .flv ซึ่งเป็นไฟล์วีดีโอมาเก็บไว้ที่ server ของทางเว็บแล้วทำการ extract ไฟล์เพลงเป็น mp3 ออกมา จากนั้นให้คลิ๊กที่คำว่า Download mp3 ดังรูปเป็ันอันเสร็จเรียบร้อย บทความโดย 2beshop.com
 

วันนี้จะมาแนะนำเว็บไซด์อีกเว็บหนึ่งที่เจ๋งทีเดียว เว็บที่ว่านี้คือ listentoyoutube ประโยชน์การใช้งานของเว็บนี้คือ คุณสามารถใช้ tool ที่มีอยู่บนเว็บไดซ์ extract ไฟล์เพลงออกจาก หนัง .flv ที่อยู่บน youtube ดังนั้นคราวหน้าถ้าคุณพบไฟล์วีดีโอบน youtube ที่มีเพลงประกอบเพราะ ๆ คุณก็สามารถดึงมาฟังบนเครื่องเล่น mp3 ได้สบาย ๆ
listentoyoutube ให้บริการฟรี และสามารถทำงานได้รวดเร็วเกินขาด นอกจากนี้คุณไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิกก่อนใช้งานให้เสียเวลา สิ่งที่คุณต้องการมีเพียงสิ่งเดียวคือ url ของวีดีโอ youtube ที่คุณต้องการ extract ไฟล์ mp3 ออกมา
ขั้นแรกให้เลือกไฟล์หนังจาก youtube
youtube

ขั้นที่สอง เมื่อได้ url ที่ต้องการมาแล้วให้เป็นที่ listentoyoutube

listentoyoutube
เสร็จแล้วให้คลิ๊กที่ปุ่ม “go”
transfer
ตัวเว็บไซด์นี้จะทำการโหลดไฟล์ .flv ซึ่งเป็นไฟล์วีดีโอมาเก็บไว้ที่ server ของทางเว็บแล้วทำการ extract ไฟล์เพลงเป็น mp3 ออกมา
จากนั้นให้คลิ๊กที่คำว่า download mp3 ดังรูปเป็ันอันเสร็จเรียบร้อย
download

บทความโดย 2beshop.com

วิธีหาที่อยู่จริงของผู้ส่ง email ถึงเราโดยใช้ ip address

วันนี้ จะมาว่าด้วยการค้นหาผู้ที่ส่ง email ถึงเราว่าเขาอยู่ที่ไหน ด้วยการใช้ ip address แค่นี้เราก็สามารถสืบหาที่อยู่ของผู้ส่ง email ถึงเราได้แล้วครับ แม้ว่าผลของมันจะไม่ถึงกับ 100% แต่ว่ามันก็มีประโยชน์ และน่าสนใจมากทีเดียว คาดว่าผลการค้นหาในอนาคตน่าจะสามารถเจาะจงไปถึงบ้านที่อยู่ของผู้ส่ง email ได้เช่นเดียวกัน ประการแรกที่ต้องทำความเข้าใจกันซะ่ก่อน… ก่อนจะเริ่มต้นเราขอแนะนำให้คุณใช้ email ของ GMail, Yahoo Mail, และ Outlook เนื่องจากสามตัวนี้สามารถเลือก option ในการดู ip address ของผู้ส่งได้ ซึ่งในบทความนี้จะขอใช้ GMail เป็นตัวอย่างครับ เมื่อเข้าไปที่ Inbox แล้วให้ทำการเลือก email ที่ต้องการจะตรวจสอบ จากนั้นให้ไปที่คำว่า reply คล๊ิกที่ลูกศรชี้่ลูกที่อยู่ข้างขวาของคำว่า reply แล้วให้เลือก “show original” เมื่อเลือกเสร็จแล้ว GMail จะทำเปิดหน้าต่างหรือ tab ขึ้นมาอีกอัน ทีนี้คุณจะได้รายละเอียด ip address ของผู้ส่ง email เนื่องจากเหตุผลของความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัย [...]
 

วันนี้ จะมาว่าด้วยการค้นหาผู้ที่ส่ง email ถึงเราว่าเขาอยู่ที่ไหน ด้วยการใช้ ip address แค่นี้เราก็สามารถสืบหาที่อยู่ของผู้ส่ง email ถึงเราได้แล้วครับ แม้ว่าผลของมันจะไม่ถึงกับ 100% แต่ว่ามันก็มีประโยชน์ และน่าสนใจมากทีเดียว คาดว่าผลการค้นหาในอนาคตน่าจะสามารถเจาะจงไปถึงบ้านที่อยู่ของผู้ส่ง email ได้เช่นเดียวกัน
ประการแรกที่ต้องทำความเข้าใจกันซะ่ก่อน… ก่อนจะเริ่มต้นเราขอแนะนำให้คุณใช้ email ของ gmail, yahoo mail, และ outlook เนื่องจากสามตัวนี้สามารถเลือก option ในการดู ip address ของผู้ส่งได้ ซึ่งในบทความนี้จะขอใช้ gmail เป็นตัวอย่างครับ
เมื่อเข้าไปที่ inbox แล้วให้ทำการเลือก email ที่ต้องการจะตรวจสอบ จากนั้นให้ไปที่คำว่า reply คล๊ิกที่ลูกศรชี้่ลูกที่อยู่ข้างขวาของคำว่า reply แล้วให้เลือก “show original”
show-original
เมื่อเลือกเสร็จแล้ว gmail จะทำเปิดหน้าต่างหรือ tab ขึ้นมาอีกอัน ทีนี้คุณจะได้รายละเอียด ip address ของผู้ส่ง email
original-ipaddress
เนื่องจากเหตุผลของความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัย ภาพข้างบนจึงขอ sensor ในส่วนของ email address และ หมายเลข ip บางส่วนครับ
เมื่อได้ original ip address มาแล้วให้เราไปที่ whatismyipaddress ซึ่งเป็นบริการฟรี เพื่อหาที่อยู่ที่ได้จาก ip address นั่นเอง โดยจะทำงานร่วมกับ google map
google-map
ให้เราทำการกรอกหมายเลข ip address ที่ต้องการตรวจสอบ จากนั้นให้คลิ๊กที่ปุ่ม “lookup ip address” เราก็จะได้ที่อยู่บนแผนที่ google map ดังภาพข้างบน
ให้เราคลิ๊กที่ปุ่ม “+” บนแผนที่ีเพื่อทำการ zoom in ไปเรื่อย ๆ จนได้ภาพแผนที่ ที่เราพอใจ
zoom-in
จากตัวอย่างจะเห็นว่าเมื่อเรากดที่ปุ่ม “+” บนแผนที่ีเพื่อทำการ zoom in จนสุด ปรากฏให้เห็นว่าผู้ส่ง email หาเรานั้นอยู่สถานที่ใกล้เคียง รพ.หัวเฉียว ลองเอาไปเล่นดูนะครับ แม้ว่าในตอนนี้ความแม่นยำจะยังไม่สามารถนำมาใช้ได้ 100% แต่คาดว่าอีกไม่นาน google map คงจะพัฒนาความสามารถให้แม่นยำ และละเอียดกว่านี้อย่างแน่นอน

บทความโดย 2beshop.com
ผู้ให้บริการ server อันดับต้น ๆ ของไทย